ประวัติรองเท้า Vans รองเท้าผ้าใบระดับตำนาน ต้นกำเนิดความคลาสสิค
ประวัติรองเท้า Vans นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900-1965 เมื่อนึกถึงบริษัทผลิตรองเท้าชื่อดังในอเมริกา มีเพียงสองเจ้าเท่านั้นคือ CONVERSE RUBBER และ US.Keds(Keds,Pro Keds) ซึ่งทั้งสองเป็นบริษัทที่ได้รับการกล่าวถึงว่า ผลิตรองเท้าที่สามารถบ่งบอกถึงความเป็นอเมริกันชนได้ ดีที่สุด เพราะมีความทนทาน มีการออกแบบดีและราคาถูก จึงทำให้ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย และได้รับความนิยมอย่างมาก ถึงกับขนาดที่ว่าเดินไปที่ใด ก็จะต้องเห็นอเมริกันชนใส่รองเท้าสองยี่ห้อนี้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนอเมริกาไปแล้ว
จนกระทั่งปี 1966 รองเท้ายี่ห้อนึง ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น และกลายมาเป็นรองเท้าระดับตำนานจนถึงวันนี้ เรียกได้ว่ารองเท้าสุดแนว ยี่ห้อนั้นชื่อ “VANS” ได้ถือกำเนิดขึ้นจากชายผู้มีความรักและชื่นชอบรองเท้า เขาต้องการผลิตรองเท้า ที่มีรูปแบบเป็นของตัวเอง มีความทนทานต่อทุกสภาพการใช้งาน และต้องราคาไม่แพง
ชายผู้นั้นชื่อ “Paul Van Doren” ก่อนที่เขาจะมาผลิตรองเท้าที่เป็นยี่ห้อของตัวเอง Paul ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตรองเท้าชื่อ “Randolph Rubber” ทีซึ่งเขาได้ทำงานผลิตรองเท้ากว่า 20ปี

ประสบการณ์ของการทำงานในที่นั้น ได้สร้างประโยชน์ให้กับเขาอย่างมากในเวลาต่อมา เมื่อ Paul มีความตั้งใจที่จะสร้างรองเท้าในแบบของเขาเอง และในปีนั้นเอง บริษัท “Van Doren The Rubber” ที่มีความชำนาญในการผลิตรองเท้าจึงได้ถือกำเนิดขึ้น จากการรวบรวมผู้มีความสามารถ มากประสบการณ์ ในการต่าง ๆ ที่มีจุดประสงค์เดียวกัน คือการผลิตรองเท้าที่มีเอกลักษณ์ และเป็นตัวของตัวเอง
การต่อตั้ง The Van Doren Rubber Company
โดยบริษัทเริ่มต้นด้วยชื่อ The Van Doren Rubber Company ซึ่งต่อมาถูกเรียกสั้น ๆ ว่า Vans ก่อตั้งเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1966 ซึ่งช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา Vans เป็นที่จดจำในวงการแฟชั่น ตั้งแต่การ Collaboration กับ Nintendo, J. Crew, Starwars, Disneys และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ รองเท้าที่มีความทนทาน ถึงกับขนาดที่ว่าพื้น Waffle ยังคงใช้งานได้ดี แต่ตัวรองเท้าขาดจุดไม่เหลืออะไรแล้วก็ยังมี (คู่ของ MDs’ เองนี่แหละครับ) จุดเริ่มต้นมาจากคน 4 คนได้แก่พี่น้อง Van Doren คือ Paul และ James ร่วมกับหุ้นส่วนคือ Serge D’Elia และ Gordon Lee
การเปิดร้านครั้งแรก ก็มีผู้คนให้ควาสนใจ กับรองเท้าพื้น Waffle ที่มีการพัฒนาด้วยส่วนผสมวัตถุดิบยาง และซื้อกลับบ้านไปทั้งหมด 16 คู่
“เราพยายามทำทุกวิถีทางที่จะเรียกลูกค้าเข้าร้าน และลองสินค้าของเรา” Steve Doren ลูกชายของ Paul Van Doren ที่เริ่มทำงานที่ร้านตั้งแต่อายุได้เพียง 10 ขวบกล่าว

รองเท้าคู่แรกที่ทาง Vans ผลิตขายคือ Vans #44 Deck Shoes หรือ Authentic ในปัจจุบัน แต่ ณ เวลานั้น Paul Van Doren ไม่ได้ผลิตรองเท้าเตรียมไว้เพื่อขายในวันแรก ทำให้เกิดปัญหาเล็กน้อยคือรองเท้าไม่พอกับความต้องการนั่นเอง
ช่วง 1970s ที่กระแส Skateboard โด่งดัง แบรนด์อื่นผลิตแต่รองเท้ากีฬา

เมื่อช่วง 1970s ก็มีกระแส Skateboard เริ่มมาแรงและโด่งดังมาก แต่แบรนด์รองเท้า แบรนด์อื่น ๆ กลับหันไปผลิตแต่รองเท้ากีฬากันหมด ทำให้ Vans เห็นช่องว่างนั้น และกระโดดเข้ามาครองตลาดรองเท้า Skate แบบเต็มตัว เต็มรูปแบบ โดยนัก Skate หลายคนในยุคดัง ทั้งคนชื่อดัง ๆ ต่างก็ใส่ Vans กันหมด ไม่ว่า Z-boys Tony Alva และ Stacy Peralta
เนื่องจากความแข็งแรงทนทานและพื้นหนาที่เรียกว่า Waffle Sole (ถูกคิดค้นโดย James และตั้งชื่อว่า Waffle Sole ตั้งแต่วันแรกที่คิดค้นได้) “มันคือรองเท้าที่ดีที่สุด มันให้ความมั่นคงและการยึดเกาะที่ดี” Alva กล่าว “รองเท้า Vans คือรองเท้าที่เหมาะกับทุกสถานการณ์รวมถึงการเล่น Skateboard”
หลังจากประสบความสำเร็จของการผลิตของเท้า Skate ทำให้ Vans พัฒนาออกแบบรองเท้าทรงใหม่ ในช่วงกลางยุค 1970s โดยให้ใช้ชื่อว่า “The Era” ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นพัฒนามาจาก Authentic นั่นเองและให้รหัสว่า “Style #95”

แถมเริ่มพัฒนาระบบการผลิตแบบ Custom Made คือให้ลูกค้าสามารถเลือกชนิดของผ้าได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มากในวงการ Skate ที่ทุกคนต่างต้องการความเท่ห์แบบไม่ซ้ำใคร ประกอบกับ Design ที่เพิ่ม Support บริเวณข้อเท้าทำให้ Era โด่งดัง และในปี 1977 ทาง Vans ก็ได้ปล่อยรองเท้า Old Skool ออกมาเขย่าตลาดอีกรอบ และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในการใส่ลวดลายเอกลักษณ์อย่าง Jazz Stripe ลงไป

จนเข้าสู่ปี 1982 ด้วยความดังของหนังเรื่อง Fast Times at Ridgemont High ทำให้ Vans ที่ถูกใส่โดย Sean Penn ดังเป็นพลุแตกกับรองเท้า Slip-On รหัส #77 ที่เป็นลายตารางหมากรุก ในปีต่อมา Vans ก็เริ่มขยับขยาย เพิ่มช่องทางในการขายมากขึ้น โดยขยายตลาดไปสู่ Pop Culture และเริ่มมีการ Collaboration มากขึ้น

แต่แล้วปี 1984 บริษัทได้เกิดปัญหาด้านการเงินจนล้มละลาย เพราะราคาขายของรองเท้าที่ Vans ผลิตมีราคาที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับวัตถุดิบและการตัดเย็บทำให้รายจ่ายมีมากกว่ารายรับนั่นเอง จึงได้มีการปรับโครงสร้างเพื่อฟื้นฟูกิจการในที่สุด
จนปัจจุบัน Vans ก็ยังคงเป็นรองเท้าที่ต้องการในตลาดรองเท้าผ้าใบ วัยรุ่นทุกคนต้องมีรองเท้า Vans ติดบ้านสักคู่ หนึ่งไม่ว่าจะเป็น Authentic, Era, Old Skool, หรือ Slip-On ก็ตามที
แหล่งอ้างอิงข้อมูล : , แทงบอล
ติดตามเว็บไซต์น่าติดตามเพิ่มเติมได้ที่ >> เกมออนไลน์
แบรนด์อื่นๆ ที่แนะนำ >> แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง