Crash Style คืออะไร นาฬิการูปร่างบิดเบี้ยวเกิดจากอุบัติเหตุร้าย ที่กลายเป็นตำนาน
Crash Style เมื่อพูดถึงนาฬิกา หลาย ๆ คนคงจะต้องนึกถึงนาฬิการูปทรงที่เรามักจะคุ้นเคยกัน นั่นก็คือจะมีแค่รูปทรงกลม ๆ และสี่เหลี่ยม เรียกได้ว่าเป็นรูปทรงที่มีความมาตรฐานสากล ไม่ว่าแบรนด์ไหนในโลก ล้วนทำตัวเรือนออกมาตามพื้นฐานเดียวกัน ซึ่งคุณสมบัติอาจแตกต่างกนัไปตาม กลไก การออกแบบ วัสดุ รวมถึงวิธีการนำเสนอ
ปัจจุบันโลกของนาฬิกาได้พัฒนาไปไกลมาก เทคโนโลยีก้าวเข้ามามีบทบาท ทำให้เกิดนาฬิกาอัจฉริยะ หรือ Smart watch ขึ้นมา แต่โลกของนาฬิกาเป็นโลกที่ของใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ไม่ใช่การเข้ามาทดแทน ซึ่งนาฬิกาในรูปแบบเก่า ๆ ยังคงมีคุณค่าอยู่ เทคโนโลยีอาจไม่ได้ล้ำหน้าอะไรมาก แต่ยังคงความคลาสสิคและภาพลักษณื ที่ยังคงผูกโยงกับคาแรคเตอร์ของผู้สวมใส่ มาตลอดหลายสิบปี หรือจะร้อยปี ทำให้มันทรงคุณค่าทางใจ
และเรือนบอกเวลาหลายเรือน ก็ทำให้เห็นว่า ความแปลกใหม่ จากยุคอดีตยังคงสร้างความตื่นเต้น และเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งของได้จนถึงตอนนี้เสมอ
ซึ่งวันนี้เราไม่ได้จะพาทุกคนมาชมนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุด นาฬิกาที่ล้ำสมัยที่สุด นาฬิกาโบราณที่เก่าแก่ที่สุด หรือ นาฬืกาที่แพงที่สุดในโลก แต่เราจะพาทุกคนไปเปิดโลกของ นาฬิกาสุดแปลกตา มีรูปทรงบิดเบี้ยว อย่าง Crash Style ที่ถือว่าเป็นตำนานแห่งโลกนาฬิกา และมีมูลค่าทั้งด้านการเงินและจิตใจของเรานักสะสมนาฬิกา
ต้นฉบับที่มาที่ไปของมัน ก็มีเรื่องราวเล่าขานกันมาอย่างยาวนาน และต้นกำเนิดของมัน ตอนนี้กลายเป็นนาฬิกาไอคอนิกเลย ซึ่งก็คือรุ่น Crash จากแบรนด์ Cartier นั่นเอง ซึ่งเรื่องราวของมัน เกิดมาจากความบังเอิญ ทว่าบังเอิญในระดับที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับช่างทำนาฬิกาฝีมือชั้นครูเลยทีเดียว
ทำความรู้จักกับนาฬิการูปโฉมบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ
สำหรับนาฬิการุ่น Crash ต้องบอกว่า มีต้นกำเกิดมาตั้งแต่ ยุค 60s ที่ร้านคาร์เทียร์ สาขาในกรุงลอนดอน มีหญิงชราคนหนึ่งนำนาฬิกาของเธอเข้ามาซ่อม ทว่าก็ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง แล้วยังกลายเป็นตัวจุดชนวนด้านไอเดีย นั่นก็คือ รูปทรงของนาฬิกา รุ่น Cartier Baignoire Allongée ที่แปลว่าอ่างน้ำขนาดยาว ซึ่งมันมีรูปร่างบิดเบี้ยว เปลี่ยนรูปทรงไปจากเดิม เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
สันนิษฐานกันว่าเพราะแรงกระแทก และความร้อนมหาศาล ทำให้นาฬิการุ่นดังของคาร์เทียร์ ณ เวลานั้น เปลี่ยนแปลงรูปทรงไปแบบไม่มีใครคิดว่า จะมีช่างนาฬิกาคนใดจะสามารถ รังสรรค์มันออกมาในรูปทรงดังกล่าวได้ มีเพียงงานศิลปะเท่านั้นที่ทำให้สิ่งของดูเหนือจริงแบบนาฬิกาของผู้หญิงคนนั้นเกิดขึ้นได้
![Cartier Baignoire Allongée นาฬิการุ่นต้นแบบของ Crash](https://www.cartier.com/variants/images/44733502651438014/img1/w960.jpg)
![Jean-Jacques Cartier ผู้ริเริ่มความแปลกใหม่อีกรูปแบบให้วงการนาฬิกาโลก](https://propertyofalady.fr/wp-content/uploads/2020/05/1c.-1950s-Jean-Jacques-Cartier-Authors-Grandfather-474x647.jpg)
Jean-Jacques Cartier เห็นนาฬิกาเรือนดังกล่าว ก็เกิดไอเดียการทำนาฬิการูปทรงแปลกประหลาดขึ้น มันเป็นความบิดเบี้ยวที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งความงดงาม รูปทรงอ่างน้ำแบบเดิมค่อยๆ เปลี่ยนฟอร์มไปเรื่อยๆ จนออกมาเป็นนาฬิกาคาร์เทียร์รุ่น Crash
ซึ่งนาฬิการุ่นนี้เปิดวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1967 ณ ร้านคาร์เทียร์ สาขาลอนดอน กลไกนาฬิกาถูกออกแบบโดย Jaeger-LeCoultre แบรนด์นาฬิการะดับตำนานจากสวิตเซอร์แลนด์ ต้องบอกว่าในยุคสมัยนั้น การทำกลไกเพื่อนาฬิการูปทรงแปลกประหลาด แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ความร่วมมือกันระหว่าง 2 แบรนด์ทำให้มันเกิดขึ้นสำเร็จ Cartier Crash มีหลายซีรีส์ ที่มีรายละเอียดแตกต่างกันโดยเฉพาะหน้าปัด
ทว่าตำนานที่เล่าขาน อาจไม่ใช่เรื่องราวเดียว ที่ถูกผลิตซ้ำ เกี่ยวกับประวัติของนาฬิกาคาร์เทียร์รุ่นนี้ เพราะเคยมีชุดข้อมูลจากหลายแหล่ง นำเสนอว่า แท้จริงแล้ว นาฬิกาที่ผิดรูปนั้น ไม่ใช่ของลูกค้าหญิงชรา แต่เป็นนาฬิกาของผู้บริหารคาร์เทียร์ซะเอง ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนตัวเรือนโดนความร้อน และเปลี่ยนแปลงรูปร่างของมัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีหลักฐานพิสูจน์เหมือนกันว่า เรื่องไหนคือเรื่องจริงกันแน่ แต่ในยุคหลัง ๆ ข้อมูลเรื่องราวของหญิงชรา ถูกนำเอามาอธิบายเรื่องราวเบื้องหลังของเรือนเวลาเรือนนี้มากกว่าเรื่องเล่าขานอื่น ๆ
![Crash เวอร์ชั่นออริจินัลจากลอนดอน](https://revolutionwatch.com/wp-content/uploads/2022/03/64-CARTIER-CRASH-FIRST-LIGHT.jpg)
ความน่าสนใจ ที่ทำให้ Crash กลายเป็นนาฬิกาที่พิเศษมาก ๆ และหายากมาก ๆ คือเรื่องจำนวน เพราะด้วยความยากในการผลิต ประกอบกับความคลาสสิกของตัวเรือนนาฬิกาแบบดั้งเดิม ยังคงเป็นอมตะ คาร์เทียร์จึงผลิตรุ่น Crash ในจำนวนน้อยมาก ๆ
แม้จะมีการผลิตซ้ำในหลายโอกาส เช่น Crash รุ่นพิเศษสำหรับร้านในปารีสเองก็มีเพียง 200 เรือนทั่วโลกเท่านั้น จากวันนั้นถึงวันนี้จำนวนดังกล่าวก็ลดน้อยถอยไปตามกาลเวลา ดังนั้นนาฬิการุ่นนี้ จึงกลายเป็นสมบัติล้ำค่า ที่นักสะสมทั่วโลกต่างมองหา
โดย Crash เวอร์ชั่นออริจินัลจากลอนดอนนั้นมีมูลค่ามากกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3,1500,000 บาทเลยทีเดียว
![งานจิตรกรรม Melting Watch ของ Salvador Dalí](https://www.ellethailand.com/wp-content/uploads/2021/12/the-persistence-of-memory-1931-1024x778.jpg)
สำหรับเรื่องของงานศิลปะ รูปทรงอันผิดปกติของนาฬิการุ่น Crash อาจมีความเป็นไปได้ว่า ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก ผลงานภาพวาดศิลปะของ Salvador Dalí ศิลปินชื่อดัง ผู้รังสรรค์ผลงาน The Persistence of Memory (1931) และ Melting Watch (1954) ชิ้นงานระดับขึ้นหิ้ง 2 ชิ้นที่แสดงให้เห็นของรูปทรงอันบิดเบี้ยวในจินตนาการ
ซึ่งจุดนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ นาฬิกาสุดไอคอนิกนี้ มีมูลค่าในทุกด้านเพิ่มสูงขึ้น เพราะมันไม่ใช่แค่เครื่องบอกเวลาอย่างเดียว แต่มันคืองานศิลปะที่ครั้งหนึ่งมนุษย์เราเคยมองว่ามันเกินขีดความสามารถของเราที่จะสร้างนาฬิกาบิดเบี้ยวแบบนั้นขึ้นมาได้
![Salvador Dalí Softwatch](https://i.etsystatic.com/6113680/r/il/e2ad6c/1391936354/il_fullxfull.1391936354_d72h.jpg)
ยังมีนาฬิการูปทรงประหลาดรุ่นอื่นนอกจาก Crash หรือไม่?
นาฬิการูปทรงบิดเบี้ยวไม่ได้มีแค่รุ่น Crash เท่านั้น ยังมีนาฬิกาที่มีชื่อของซัลวาดอร์ เป็นแรงบันดาลใจ จนเกิดเป็น “Salvador Dalí Softwatch” ความยอดเยี่ยมของงานศิลปะถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่ นาฬิการุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษของแบรนด์ Exaequo Watch
ได้มีการระบุอย่างชัดเจนว่า ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก ซัลวาดอร์ และทำเพื่อศิลปินคนนี้โดยใช้ชื่อของเขาโดยตรง ถึงเรือนบอกเวลารุ่นนี้จะไม่ได้มาจากแบรนด์ระดับพระกาฬและมีราคาไม่สูงมาก แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาของมัน ที่มีความโดดเด่น และมีแรงบันดาลใจมาจากศิลปินดัง ก็ทำให้มันกลายเป็นนาฬิการูปทรงประหลดที่น่าจดจำ
![Churchill Watch Company](https://image.invaluable.com/housePhotos/sothebys/57/112557/H0046-L04143026.jpg)
นอกจาก 2 แบรนด์ด้านบนแล้ว อีกหนึ่งแบรนด์ที่ทำให้ทั่วโลกคุ้นเคยกับนาฬิการุ่น Crash ก็คือ Churchill Watch Company จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ เรือนบอกเวลาจากแบรนด์นี้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับรุ่น Crash ของ Cartier
นอกจากนี้ ชื่อเชอร์ชิลล์หมายถึง Winston Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ผู้พาประเทศผ่านวิกฤติสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตัวของวินสตันนั้นเป็นผู้ชื่นชอบเครื่องบอกเวลาอยู่แล้วโดยเฉพาะนาฬิกาข้อมือและนาฬิกาพกติดกระเป๋า
ด้วยความที่เป็นชื่อสกุลของเขา จึงทำให้ดึงดูดเหล่าผู้ชื่นชอบนาฬิกา โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษได้ดีทีเดียว ทว่าช่วงการผลิตนาฬิการูปทรงแปลกใหม่นี้ก็เป็นช่วงปลายของบริษัท แต่ทว่าน่าเสียดาย เมื่อผลิตนาฬิการุ่นพิเศษออกมาได้ไม่นานบริษัทก็ปิดตัวลง ทิ้งให้ความบิดเบี้ยวกลายเป็นตำนานแห่งยุค ‘90s และยังคงเป็นของล้ำค่าอีกหนึ่งชิ้น สำหรับนัก สะสมนาฬิกา ทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
Cartier Crash Skeleton พิเศษด้วยเทคนิคการผลิตชั้นสูง
แม้นาฬิกาทุกเรือน จะมีฟังก์ชั่นการใช้งานคือการบอกเวลา แต่เรื่องราวเบื้องหลังและกลไกอันซับซ้อนสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่าแค่สิ่งของเน้นใช้งาน ความสวยงามของมันเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่ดีไซเนอร์ต้องการถ่ายทอดออกมาให้ผู้สวมใส่และนักสะสมชื่นชม ในอดีตที่ผ่านมา นาฬิกาคือสิ่งของมีมูลค่าที่เก็บไว้ใช้หรือเปลี่ยนเป็นเงินได้เสมอ แน่นอนว่าเรือนบอกเวลาย่อมมีรุ่นใหม่ ๆ ออกมาและพัฒนาความล้ำหน้าให้สดใหม่อยู่ตลอด แต่ความคลาสสิกของนาฬิการุ่นพิเศษเหล่านี้ ก็ไม่เคยหายไป นั่นคงเป็นเพราะมันพิเศษเหนือกาลเวลาแบบจริง ๆ
ติดตามเว็บไซต์น่าติดตามเพิ่มเติมได้ที่ >> ดูหนังออนไลน์ , แทงบอลโลก
บทความอื่น ๆ ที่แนะนำ >> กระเป๋าแบรนด์เนม ราคาไม่แรง