Brand name fashion updates
Brand Name เปิดแบรนด์ที่หลายๆท่านนั้นจะต้องรู้จัก มีติดตัวแล้วปังแน่นอน
Brand name fashion updates
Brand Name เปิดแบรนด์ที่หลายๆท่านนั้นจะต้องรู้จัก มีติดตัวแล้วปังแน่นอน

H&M เอชแอนด์เอ็ม เปิดประวัติเจาะลึกแบรนด์ลักซูรีระดับ Fast Fashion

H&M เอชแอนด์เอ็ม

 

H&M เอชแอนด์เอ็ม เปิดประวัติเจาะลึกแบรนด์ลักซูรีระดับ Fast Fashion ยักษ์ใหญ่

H&M เอชแอนด์เอ็ม คือแบรนด์ดัง สัญชาติสวีเดน ที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1947 โดยเออร์ลิ่ง เพิร์สสัน (Erling Persson) ที่เมือง Västerås ในประเทศสวีเดน ก่อนที่จะขยายตัวอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก และในทุกวันนี้แบรนด์ H&M มี 4,133 สาขาด้วยกัน พร้อมกับมีหมวดสินค้า ที่ครอบคลุมทั้งเสื้อผ้าลำลอง ชุดกีฬา ชุดหญิงตั้งครรภ์ ชุดเด็กอ่อน ทั้งยังมีของแต่งบ้านอีด้วย ต่อมาในปี 2004 ทาง H&M กับ Lagerfeld ดีไซเนอร์ตำนานอย่างแบรนด์ Chanel, Fendi และแบรนด์ของตัวเอง Karl Lagerfeld

ก็ได้สร้างความฮือฮายิ่งใหญ่ ด้วยการประกาศว่าจะรวมงานทำคอลเล็กชันพิเศษ อย่างโปรเจกต์ในชื่อ ‘Designer Collaboration’ ซึ่งมีเป้าหมายในการเปิดเสรีภาพที่มีชื่อ “Fashion Democracy” โดยให้คนทั่วไปได้มีโอกาสซื้อสินค้าดีไซน์โดยดีไซเนอร์ระดับโลก ซึ่งทางแบรนด์เอง ก็มีราคาสูงกว่าเป็นสิบ ๆ เท่า และเข้าหาเฉพาะกลุ่ม

พอเปิดตัวคอลเล็กชันแรกไปกับ ดีไซเนอร์อย่าง Karl Lagerfeld x H&M โปรเจกต์ Designer Collaboration ก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และกลายเป็นที่จับตามองไปทุกปี ว่าจะมีดีไซเนอร์คนไหนมาร่วมงานในครั้งต่อไป โดยตลอดระยะเวลา 13 ปี ที่ผ่านมา ทางแบรนด์ก็มีแบรนด์อื่นมาร่วมทำคอลเล็กชัน เช่น Viktor & Rolf, Lanvin, Comme Des Garçons, Marni, Stella McCartney, Alexander Wang และ Erdem

สิ่งที่น่าสนใจอย่างแรกคือ หากมองดูดี ๆ จะพบว่า แต่ละแบรนด์ที่ H&M ชวนมาทำงานด้วยนั้น มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป และสามารถใช้โปรเจคต์นี้ ในการต่อยอดไม่ให้แบรนด์ตัวเองหลุดจากกระแสนั้นเอง

 

Karl Lagerfeld x H&M
Karl Lagerfeld x H&M

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Versace ที่ทำสองคอลเล็กชันในปี 2011 และปี 2012 มีความน่าสนใจตรงที่ ช่วงนั้นถึงแม้ชื่อแบรนด์จะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่ Versace ในตอนนั้นอาจยังมีฐานลูกค้าเดิม ๆ และกระแสในวงการแฟชั่นอาจแผ่วลง แต่พอมาทำคอลเล็กชันร่วมกับ H&M และมีสินค้า ที่เอาลวดลายสุดไอคอนิกจากอาร์ไคฟ์ ของแบรนด์มาใส่ในราคาเข้าถึงง่าย

เช่น แจ็กเก็ตหนังปักหมุดลาย Baroque ขายราว 10,000 บาท แต่ของแบรนด์ Versace เองขายเกินแสน สิ่งนี้ทำให้คอลเล็กชัน Versace x H&M กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ ที่คนแห่กันไปซื้อจนเว็บไซต์ H&M ล่มเป็นวัน และได้ทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้รู้จักและกลับมาสนใจ Versace อีกครั้ง

Balmain x H&M ในปี 2015 ก็เป็นอีกหนึ่งคอลเล็กชันที่เปลี่ยนภูมิทัศน์การสร้างสรรค์ไลน์ Collaboration เพราะสินค้าของ Balmain เองถือได้ว่ามีราคาแพงสุดถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ที่เคยร่วมงานกับ H&M (แจ็กเก็ตของแบรนด์ Balmain เองมีราคา 300,000 บาทขึ้นไป)

และการที่แบรนด์พรีเมียมที่อยู่สุดบนยอดเขาแฟชั่น อย่าง Balmain กล้ามาลงสนาม Fast Fashion ก็กลายเป็นใบเบิกทางให้กับแบรนด์ในระดับเดียวกันกล้าลงมาทำด้วย ซึ่งผลลัพธ์ในท้ายที่สุด คอลเล็กชันนี้ ได้กลายเป็นโปรเจกต์ Designer Collaboration ที่ประสบความสำเร็จที่สุด ตั้งแต่ H&M เคยทำมา

 

 

การร่วมงานกับแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อคงไว้ซึ่งกระแสในแวดวงแฟชั่น

ในขณะเดียวกัน H&M ก็ไม่ได้มองหาแค่แบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่มีแฟลกชิปสโตร์ทั่วโลกอย่างเดียว แต่ยังเลือกแบรนด์ระดับกลางที่กำลังมีกระแสในแวดวงแฟชั่น แต่อาจไม่ได้มีจุดขายหรือร้านค้าเป็นของตัวเองทั่วโลก

ซึ่งการมาทำคอลเล็กชันกับ H&M ก็จะช่วยทำให้ขยายชื่อเสียง ชั่วข้ามคืนก็ว่าได้ ตัวอย่างที่คล้ายกันคือ คอลเล็กชัน Isabel Marant x H&M ในปี 2013 และ Erdem x H&M ในปี 2017 ซึ่งทั้งสองแบรนด์มีขนาดกลาง และมีลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ที่มีแค่ผู้หญิง แต่พอมาทำโปรเจกต์ร่วมกับ H&M ก็ต้องจับกลุ่มเสื้อผ้าผู้ชายด้วย

นับว่าเป็นการสร้างความพิเศษ และการลองตลาดใหม่ สำหรับตัวแบรนด์ ที่ได้ H&M มาหนุนหลัง โดย Isabel Marant ก็เพิ่งปล่อยเสื้อผ้าผู้ชายในคอลเล็กชัน Spring 2018 ของตัวเองเป็นครั้งแรก

และให้เหตุผลว่าตัดสินใจมาจับกลุ่มตลาดนี้หลังเห็นการตอบรับที่ดีของเสื้อผ้าผู้ชายตอนทำกับ H&M ส่วนคอลเล็กชัน Erdem x H&M ถึงแม้ยังไม่ได้วางขาย แต่นักวิจารณ์และบรรณาธิการนิตยสารหลายคนก็ได้ออกมาชื่นชมผลงานเสื้อผ้าผู้ชายในคอลเล็กชันนี้ ว่าเทียบเท่ากับเสื้อผ้าของผู้หญิงที่ Erdem ถนัด

 

Erdem x H&M
Erdem x H&M

 

แต่ทว่า หนึ่งในปัญหาที่ พบทุกปี คือสินค้าจากคอลเล็กชั่น Designer Collaboration จะขายหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ภายในพริบตา และคนทั่วไปไม่สามารถจับจองทัน ซึ่งทาง H&M ก็ไม่ได้มีการมาเติมสินค้าใหม่เรื่อย ๆ และเพราะการมีผลิตในจำนวนจำกัด หลายคนจึงถามว่า H&M ไม่อยากได้กำไรเยอะ ๆ งั้นเหรอ

แต่ก็สามารถมองกลับได้ว่า H&M ตั้งใจ และมองโปรเจกต์นี้ เป็นการกระตุ้นภาพลักษณ์และแบรนดิ้งมากกว่า เพราะเอาเข้าจริงยอดขายของคอลเล็กชัน Designer Collaboration ครอบคลุม 10-20% ของยอดขาย H&M ทั้งปี

เพราะยอดขายหลักมาจากสินค้าหมวดอื่น ๆ ซะมากกว่า แถมสำหรับ H&M การได้แบรนด์ลักซูรีมาร่วมงานด้วย ก็จะช่วยชักจูงให้ผู้บริโภคที่มีความพรีเมียมขึ้น และอาจหลีกเลี่ยงการเข้าร้าน Fast Fashion หันมาเดินร้าน H&M และดูว่ามีอะไรบ้าง

 

Balmain x H&M
Balmain x H&M

การทำโปรเจกต์ Designer Collaboration ช่วยให้ H&M ไม่ตกกระแส

ในเชิงการตลาด การทำโปรเจกต์ Designer Collaboration นั้นช่วย H&M อยู่มากพอสมควร เพราะปกติกับสินค้าอื่น ๆ H&M จะใช้บุคคลสายแมสที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซนเตอร์ เช่น เดวิด เบ็คแฮม (David Beckham), บียอนเซ่ (Beyoncé) หรือ The Weeknd แต่กับโปรเจกต์นี้ ทางแบรนด์ทุ่มทุนจ้างนางแบบและช่างภาพระดับโลก มาทำแคมเปญโฆษณา เห็นได้จากคอลเล็กชัน Erdem x H&M ที่ให้ผู้กำกับ บาซ เลอห์มานน์ (Baz Luhrmann) แห่งภาพยนตร์ Moulin Rouge มาทำโฆษณา หรือคอลเล็กชันก่อนหน้านี้

Kenzo x H&M ก็ได้ช่างภาพสุดกวนในตำนานอย่าง ฌอง-ปอล กูเด (Jean-Paul Goude) มาทำให้ ในส่วนของอีเวนต์เองก็ใช้เงินมหาศาลและกลายเป็นงานใหญ่ประจำปี เช่น คอลเล็กชัน H&M x Maison Martin Margiela ในปี 2012 ที่เลือกจัดงาน ณ ตึกร้างสูงเก้าชั้นบนถนน Bleecker Street ที่มหานครนิวยอร์กและมี คานเย เวสต์ (Kanye West) และซาร่าห์ เจสสิกา ปาร์กเกอร์ (Sarah Jessica Parker) มาร่วมงาน

 

H&M

หลังจากที่ได้เจาะลึกศึกษา โปรโจกต์ Designer Collaboration ก็จะเห็นว่า คอลเล็กชันที่มีสินค้า เยอะมากมาย ราว 50 ชิ้นนี้ มีกลไกที่เอามาประกอบกัน และมีความสำคัญต่อวงการแฟชั่นเป็นอย่างมาก ในหลายด้าน ก็ต้องดูกันต่อไปว่า ทางแบรนด์ไหนจะได้มาร่วมโปรเจกต์นี้ กับ H&M อีกบ้าง แต่ตอนนี้อยากให้มี ‘Greatest Hits’ ที่รวบรวมคีย์ไอเท็มตลอด 13 ปี จากทุกคอลเล็กชันที่ผ่านมา เพราะหลายคนคงไปยืนไฟต์ จองสินค้า รอเป็นวัน ๆ ไม่ทันแน่ แต่ถ้ามีจริง ๆ อย่างไรก็อาจจะไม่ทันอยู่ดี

แหล่งอ้างอิงข้อมูล : my-best.in.th, แทงบอล

ติดตามเว็บไซต์น่าติดตามเพิ่มเติมได้ที่ >> เกมออนไลน์

แบรนด์อื่นๆ ที่แนะนำ >> Uniqlo ยูนิโคล่