Brand name fashion updates
Brand Name เปิดแบรนด์ที่หลายๆท่านนั้นจะต้องรู้จัก มีติดตัวแล้วปังแน่นอน
Brand name fashion updates
Brand Name เปิดแบรนด์ที่หลายๆท่านนั้นจะต้องรู้จัก มีติดตัวแล้วปังแน่นอน

Sustainable Fashion เทรนด์แฟชั่นรักษ์โลก เปิดมิติใหม่รักษ์โลกอย่างมีสไตล์

Sustainable Fashion

เทรนด์แฟชั่นรักษ์โลก เปิดมิติใหม่ Sustainable Fashion รักษ์โลกอย่างมีสไตล์

Sustainable Fashion ในยุคโควิด พร้อมทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบสุข รวมทั้งสภาพอากาศที่แปรปวน เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวงการแฟชั่น เพราะทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกตระหนักถึงโลกมากขึ้น จึงเริ่มมีกระแสแฟชั่นรักษ์โลกขึ้นมา และเรื่องนี้ก็กลายเป็นหัวสนทนาข้อยอดฮิตทั่วไปทุกมุมโลก นั่นก็เพราะแฟชั่นสามารถเป็นเครื่องมือในการบ่งบอกถึงรสนิยม และค่านิยม ความคิดของผู้สวมใส่

อาจเรียกได้ว่าแฟชั่นคือตัวสะท้อนกระแสที่เกิดขึ้นในสังคม ณ ช่วงเวลานั้น เมื่อสภาพแวดล้อมในสังคมเริ่มเสื่อมถอย ก็เริ่มส่งผลทำให้ผู้คนเริ่มหยุดคิด และตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น กระแสรักษ์โลก และความต้องการของผู้คนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลก ให้ดีขึ้น จึงกลายเป็นเทรนด์หลักในวงการแฟชั่นตอนนี้ ที่หลาย ๆ แบรนด์เริ่มตระหนักถึงกันมากขึ้น โดยในวันนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจดูว่า ในวงการแฟชั่น แบรนด์เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เขาขยับไปสู่ความ Sustainable กันแค่ไหนแล้ว

ต้องบอกว่าในตอนนี้ ค่ายแฟชั่นยักษณ์ หลาย ๆ แบรนด์ ก็เริ่มประกาศนโยบาย ผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อมกันแล้ว อย่าง กลุ่มทุ่นแฟชั่น LVMH เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) คริสติยอง ดิออร์ (Christian Dior) จีวองชี่ (Givenchy) และเฟนดิ (Fendi) ตอนนี้ก็กำลังลุกฮือกัน

เมื่อช่วงกลางปี 2021 กลุ่มทุน LVMH เปิดเผยแผนพัฒนาสินค้าและนโยบายบริษัทจำนวน 140 หน้า เนื้อหาภายใน เป็นแผนการสนับสนุนโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการคาดหวังว่า ภายในปี ค.ศ. 2023 กลุ่มบริษัทในเครือ LVMH ทั้งหมดจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 3 Emission)

ซึ่งไม่ใช่หมายถึงแค่มลพิษจากการผลิตสินค้า แต่มีมลพิษที่มาจากปัจจัยภายนอก อย่างการเดินทางของผู้บริหาร และพนักงานในองค์กร หรือของเสียต่างๆ ที่พนักงานสร้างขึ้นในระบบ ตลอดจนการจัดการเรื่องน้ำเสีย เป็นต้น โดย LVMH ประกาศว่าภายในปี ค.ศ. 2030 บริษัทจะปรับลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมในกลุ่มนี้ 55 เปอร์เซ็นต์ และยังมีการประกาศด้วยว่าภายในปี ค.ศ. 2026 บริษัทจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มาจากการใช้พลังงานขององค์กรลงอีกครึ่งหนึ่งด้วย

ด้วยบริการซ่อมแซมสินค้าชั้นสูง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้วนำมาผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อกลับเข้าสู่วงจรการผลิตอีกครั้ง (Upcycling) การนำวัตถุดิบที่ยังมีค่ากลับมาใช้ซ้ำ และความพยายามในการค้นหาวัสดุทางเลือก ทั้งหมดนี้มีขึ้นเพื่อตอบรับกลยุทธ์เศรษฐกิจแบบหมุนเวียน (Circular Economy) ของกลุ่ม

ภายในปี ค.ศ. 2030 ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ LVMH เป็นผู้ผลิต จะเป็นสินค้าในแบบ Eco-Design ทั้งหมด เช่น ในแบรนด์เฟนดิก็ได้มีการเริ่มใช้เส้นใยโพลีเอสเตอร์แบบรีไซเคิล และผ้าฝ้ายในแบบยั่งยืนผลิตกระเป๋าและแอ็กเซสเซอรีที่เป็นผ้าทอลายโลโก้ Zucca ในกระเป๋ารุ่นบาแกตต์ (Baguette) และกระเป๋ารุ่นพีกาบู (Peekaboo) หรือในคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าสุภาพบุรุษฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2021 จากหลุยส์ วิตตอง ที่ออกแบบโดยเวอร์จิล แอ็บโลห์ (Virgil Abloh) ก็เป็นการผลิตสินค้าที่นำวัสดุหลงเหลือจากกระบวนการออกแบบในคอลเล็กชั่นก่อนหน้ามาสร้างสรรค์และพัฒนาเป็นสินค้าใหม่อีกครั้ง โดยสินค้าชิ้นนั้นๆ จะมีฉลากพิเศษติดอยู่เป็นคำว่า ‘LV Upcycling’

Gucci, Balenciaga, Saint Laurent, Bottega Veneta เป็นผู้นำด้านแฟชั่นรักษ์โลกตัวจริงอีกเจ้าหนึ่ง

ในปีที่ผ่านมาเคริ่ง เจ้าของแบรนด์ดัง ยังติดอยู่ในลิสต์ 10 อันดับบริษัทที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงสุด ผ่านการจัดอันดับของ Corporate Knights’ annual Global 100 ranking โดยเคอริ่งสามารถทำคะแนนได้สูงสุดในอันดับ 7 ซึ่งถือเป็นบริษัทกลุ่มแฟชั่นลักซ์ชัวรีที่สามารถทำคะแนนด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด

ทั้งนี้ เคอริ่งไม่ได้เพิ่งเริ่มแผนการเปลี่ยนบริษัทให้เป็นสีเขียวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเหมือนบริษัทอื่น ๆ แต่ทำการวางแผนและพัฒนานโยบายด้านนี้มานานนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 แล้ว ด้วยการประกาศนโยบายว่าบริษัทจะปรับลดตัวเลขรอยเท้านิเวศ (Ecological Footprint) หรือการวัดผลกระทบของกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศขององค์กร

โดยคำนวณจากปริมาณการบริโภคและปริมาณขยะที่เกิดขึ้นเทียบกับอัตราการฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งเคอริ่งประกาศว่าจะปรับลดอัตราดังกล่าวให้ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ในปี ค.ศ. 2025 แต่หลังจากเริ่มแผนการดังกล่าว ในปี ค.ศ. 2020 เคอริ่งก็สามารถทำได้สำเร็จ ไม่ต้องรอจนถึงปี ค.ศ. 2025 เพราะสามารถปรับลดไปได้มากถึง 44 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าตัวเลขประมาณการที่ตั้งไว้อีกด้วย

ด้วยมุมมองการทำธุรกิจ ที่มีความจัดเจนตลอดมา ในการให้ความสำคัญ เรื่องของสิ่งแวดล้อม ดั่งบทสัมภาษณ์ของฟรองซัวส์-อองรี ปิโนลต์ (François-Henri Pinault) เจ้าของเคอริ่ง ที่กล่าวไว้ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2019

มันไร้สาระมากที่เราต้องเลือกระหว่างสิ่งนี้กับผลกำไร มันมีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทที่มีนโยบายยั่งยืนสามารถดำเนินงานได้ดีขึ้นจริง ดังนั้นความยั่งยืนจึงถือเป็นโอกาสทางธุรกิจได้เช่นกัน

ซึ่งอองรี ปิโนลต์ยังได้ก่อตั้งโครงการ Regenerative Fund for Nature ในปีที่ผ่านมา โดยมุ่งหวังเปลี่ยนฟาร์มและแหล่งเพาะปลูกวัตถุดิบในการผลิตสินค้าแฟชั่นลักซ์ชัวรีจำนวนหนึ่งล้านเฮกตาร์ หรือประมาณ 6.2 ล้านไร่ให้มีความยั่งยืนให้สำเร็จภายในระยะเวลา 5 ปี

ความยั่งยืนถือเป็นจุดประสงค์หนึ่งที่เราตั้งใจ” อองรี ปิโนลต์กล่าว “บริษัทสมัยใหม่ต้องมีนโยบายด้านนี้และต้องทำให้สำเร็จ เพราะลูกค้าก็มีความคาดหวังสูงมากด้วย ในอนาคตพวกเขาจะซื้อสินค้าที่มาจากแบรนด์ที่สะท้อนถึงค่านิยมแบบเดียวกันกับที่พวกเขายึดถือ หากโลกธุรกิจไม่สามารถลุกขึ้นมาทำหน้าที่รับผิดชอบต่อสิ่งนี้ได้ คุณก็จะสูญเสียความน่าเชื่อถือ จนในที่สุดคุณก็จะกลายเป็นของที่ทุกคนลืม

ยิ่งไปกว่านั้น เคอริ่งยังประกาศว่าแบรนด์ดังในเครือทั้งหมดจะเลิกใช้ขนเฟอร์ในสินค้าทั้งหมดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วย โดยจะเริ่มต้นในคอลเล็กชั่นฤดูหนาวปี 2022 เป็นต้นไป ซึ่งความจริงแบรนด์แม่ของเคอริ่งอย่างกุชชี่ ก็เริ่มใช้นโยบายนี้มาก่อนแบรนด์อื่นๆ ในเครือแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 เคอริ่งในปัจจุบันจึงนับว่าเป็นกลุ่มทุนแฟชั่นลักซ์ชัวรีอันดับหนึ่งของโลกที่มีนโยบายใส่ใจสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และสวัสดิภาพสัตว์อย่างแท้จริง

การพัฒนาความรู้และมนุษย์ คือปัจจัยที่ทำให้แฟชั่นลักซ์ชัวรีของโลกเราเป็นสีเขียวได้อย่างสมบูรณ์

เพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ที่ดีกว่าสิ่งที่มีในปัจจุบัน ล่าสุดทาง LVMH ยังได้ประกาศแผนการ ว่าจะก่อตั้งศูนย์พัฒนาและวิจัยแห่งใหม่ในปี ค.ศ. 2024 เพื่อค้นหาวัสดุทางเลือกในการผลิตสินค้า โดยมีจุดมุ่งหวังให้สินค้าและสิ่งของทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม LVMH ในอนาคตจะปราศจากพลาสติกแบบร้อยเปอร์เซ็นต์

ขณะที่ฝั่งเคอริ่งก็ยังคงเป็นผู้นำ ออกตัวก่อนใคร ๆ ช่วงเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2021 เคอริ่งยังเข้าร่วมงานประชุมออนไลน์กับองค์กร Lablaco ที่ก่อตั้งเพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนในสินค้าแฟชั่นระหว่างสัปดาห์แฟชั่นกรุงปารีส ได้เปิดเผยผลดำเนินงานแผนการด้านความยั่งยืนที่กลุ่มเคอริ่งประสบความสำเร็จ และยังรับปากอีกว่าจะหาวิธีดำเนินธุรกิจในแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้ประสบผลสำเร็จให้ได้ ผ่านการหาวิธีใช้ประโยชน์จากเส้นใยและวัตถุดิบต่าง ๆ ที่อุตสาหกรรมแฟชั่นในปัจจุบันทิ้งไว้ ในระบบมากมายกว่า 85 เปอร์เซ็นต์

กลุ่มทุนเคอริ่งยังมีการพูดถึงศูนย์พัฒนา และวิจัยผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเองด้วย โดยศูนย์ดังกล่าวก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 เพื่อการพัฒนาและวิจัยหาวัสดุใหม่ที่ยั่งยืนกว่า สะอาดกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า

นอกจากกลุ่มแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ยังมีอีกหนึ่งในแบรนด์เสื้อผ้าสุภาพบุรุษ เซนญ่า (Zegna) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เซนญ่าได้ประกาศนโยบายที่จะเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจให้เข้าสู่รูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วย โดยหนึ่งในโปรเจ็กต์เด่นที่แบรนด์ทำมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019

คือการออกแบบเสื้อผ้าบนรันเวย์ที่เป็นการนำเอาเนื้อผ้าและวัสดุค้างสต็อกกลับมาพัฒนาใหม่ให้กลายเป็นเส้นใยและเนื้อผ้าเพื่อใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แทนที่การทิ้งให้เปล่าประโยชน์ #UseTheExisting กลายเป็นแฮชแท็กประจำเซนญ่า ที่เน้นย้ำให้เห็นถึงความจริงจังของแบรนด์ในเรื่องนี้

Sustainable Fashion การผลิตจากเส้นใยรีไซเคิล

ปัจจุบัน ความพยายามในการคิดค้นวิธีการรีไซเคิล หรืออัปไซเคิลวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ การผลักดันงานวิจัยวัตถุดิบทางเลือกชนิดใหม่ที่เรียกว่า Next-Gen Materials เป็นการพัฒนาเส้นใยโปรตีนแบบใหม่ที่ยั่งยืนกว่า แทนที่การใช้วัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับสัตว์และสิ่งมีชีวิต

Material Innovation Initiative (MII) หรือองค์กรศึกษาด้านวัสดุเพื่อความยั่งยืนแบบไม่หวังผลกำไร คาดการณ์ว่าตลาดเส้นใยโปรตีนแบบทางเลือกใหม่นี้ ภายในปี ค.ศ. 2026 จะเติบโตทำรายได้มากถึง 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.3 หมื่นล้านบาท โดยคิดเป็นตัวเลขประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าตลาดเส้นใยทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นตัวเลขอันน้อยนิด แต่อัตราการเติบโตนับว่ารวดเร็วและมีความน่าสนใจ

การพัฒนาเส้นใยชนิดใหม่ เป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยหลัก 3 ประการที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน นั่นคือการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า ต่อมาคือเทรนด์ของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจกับวัตถุดิบของสินค้าที่พวกเขาจ่ายเงินซื้อ และการออกกฎหมายในประเทศต่างๆ ที่จะเอื้อประโยชน์ให้เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

ติดตามเว็บไซต์น่าติดตามเพิ่มเติมได้ที่ >> มังงะ

บทความอื่น ๆ ที่แนะนำ >> กระเป๋าทรงถัง