Brand name fashion updates
Brand Name เปิดแบรนด์ที่หลายๆท่านนั้นจะต้องรู้จัก มีติดตัวแล้วปังแน่นอน
Brand name fashion updates
Brand Name เปิดแบรนด์ที่หลายๆท่านนั้นจะต้องรู้จัก มีติดตัวแล้วปังแน่นอน

Alexander McQueen เด็กหนุ่มชนชั้นแรงงานสู่ขบถและตำนานแห่งวงการแฟชั่น

Alexander McQueen

Alexander McQueen เด็กหนุ่มชนชั้นแรงงานสู่ขบถและตำนานแห่งวงการแฟชั่น

Alexander McQueen คือเด็กหนุ่มจากชนชั้นแรงงาน ในกรุงลอนดอน ที่มีรสนิยมทางเพศผิดแปลกไปจากบรรทัดฐานทางสังคมในยุคนั้น ที่มีการตีตราและปิดกั้นอยู่อย่างมาก ไม่เหมือนเช่นยุคปัจจุบันนี้ นอกจากจะถูกมองว่ามี ความวิปริตบางอย่าง การดำรงชีวิตในสังคมอังกฤษของเขา ก็ไม่ราบรื่นนัก

แต่ก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางความตั้งใจ ความชื่นชอบในเรื่องของแฟชั่นของเขาได้ แม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นคนขับแท็กซี่ และมีแม่เป็นคุณครูและนักจัดดอกไม้ แต่พรสวรรค์ของเขาก็เปล่งประกายและส่องแสงนำให้เขามาถูกทาง เป็นความโชคดีที่แม่ของเขาใจดีเปิดโอกาสให้เขาทำสิ่งที่เขารักและอยากทำที่สุด

ใครที่ทำงานอยู่ในวงการแฟชั่น หรือมีความชอบในแฟชั่น ก็คงต้องได้ยินชื่อของ อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน (Alexander McQueen) เพราะเขาคือ บุคคลหนึ่งที่ปฏิวัติ และขยายขอบเขตของวงการแฟชั่นในมีความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่ของจริง

อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน คือดีไซนเนอร์คนหนึ่ง ที่สร้างเส้นทางของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ เขาจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ทว่าหลาย ๆ คนก็ยังคงได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงาน อันสุดสร้างสรรค์ของ อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน อยู่เสมอ โดยในวันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น

Alexander McQueen logo and symbol, meaning, history, PNG

Alexander McQueen ดีไซน์เนอร์ผู้ขบถแห่งวงการแฟชั่น

ลี อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน เกิดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ปี 1969 ณ ย่านเลวิแชม ลอนดอน ประเทศอังกฤษ พ่อของเขาเป็นคนขับรถแท็กซี่ และคแม่เป็นอาจารย์ แม็กควีน มีพี่น้องทั้งหมดหกคนโดยตัวเองเป็นลูกคนสุดท้อง ในวัยเรียน แม็กควีนถือได้ว่าเป็นเด็กที่เป็นตัวของตัวเองสูง มีความแซ่บซน และโดดเด่นด้านศิลปะเป็นอย่างมาก

พออายุ 16 ปี แม็กควีนก็ตัดสินใจออกจากโรงเรียนและไปฝึกงานที่ร้านตัดสูทอันดับหนึ่งของอังกฤษอย่างซาวิลโรว์ (Savile Row) ที่ห้องเสื้อ ทั้ง Anderson & Sheppard และ Gieves & Hawkes ที่แม็กควีนเคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ว่า เขาเคยตัดชุดสูทให้เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และปักคำหยาบเข้าไปในซับใน หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปฝึกงานกับห้องเสื้อ Angels and Bermans ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้ก็ถือได้ว่าช่วยหล่อหลอมทักษะของแม็กควีนในการเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่เขาได้รับการยกย่องมาโดยตลอด

Alexander McQueen
Alexander McQueen

จุดเปลี่ยนของแม็กควีนเกิดขึ้นหลังจากเขาศึกษาในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเซ็นทรัลเซนต์มาร์ตินส์ ในสาขาแฟชั่นดีไซน์ บางคนอาจไม่รู้ว่าตอนแรกที่แม็กควีนตัดสินใจเรียนเพราะอยากทำงานด้านคัตติ้ง แต่หัวหน้าคอร์สสอนแฟชั่น บ็อบบี ฮิลล์สัน (Bobby Hillson) กลับมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวแม็กควีนและหยิบยื่นโอกาสให้เขาได้เรียนทันที

หลังจากที่ แม็กควีน ได้แสดงผลงาน คอลเล็กชันจบในปี 1992 บรรณาธิการแฟชั่นชื่อดังในยุคนั้นอย่าง อิซาเบลลา โบลว์ (Isabella Blow) ที่มาดูโชว์ก็ตัดสินใจซื้อทั้งคอลเล็กชันของแม็กควีนด้วยราคา 5,000 ปอนด์ และได้กลายเป็นคนที่ช่วยผลักดันแม็กควีนให้เป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในฐานะมิวส์ของกันและกัน ถึงแม้จะมีช่วงแตกหัก เพราะทั้งคู่มีอารมณ์ฉุนเฉียว ก็ถือได้ว่าต้องถูกจารึกในวงการแฟชั่นเลยทีเดียว

คอลเล็กชันจบของแม็กควีนที่เซ็นทรัลเซนต์มาร์ตินส์ ในปี 1992

หลังจากที่ แม็กควีน เรียนจบ เขาก็เริ่มทำแบรนด์ของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า Alexander McQueen แทนชื่อ Lee McQueen เพราะอิซาเบลลา โบลว์ บอกว่าชื่อกลางดูแพงกว่า ในแต่ละซีซัน แฟชั่นโชว์ของเขาจะเป็นที่กล่าวขานของวงการแฟชั่น ในความนอกคอก และรุนแรง เพราะใช้คอนเซปต์ที่ได้แรงบันดาลใจ ตั้งแต่ โจน ออฟ อาร์ก จนถึงหญิงขายบริการ แค่ได้ยินชื่อดูก็ขนลุกแล้ว

ตัวอย่างเช่น กางเกง bumster ที่ตัดมาให้เห็นแก้มก้น มีการใช้สีแดงให้ดูเสมือนเลือด หรือเสื้อผ้าฉีกขาดเหมือนถูกทารุณกรรม แม้ว่า แม็กควีน จะถูกวิจารณ์อย่างหนักจากบรรดานักเขียน เขาก็ไม่เคยแคร์และเดินหน้าต่อไปในทางที่เขาชื่อมั่นและอยากดีไซน์

ในปี 1996 บริษัท LVMH (เจ้าของ Louis Vuitton, Kenzo และ Céline) ได้ตัดสินใจจ้างแม็กควีนให้เป็นดีไซเนอร์คนใหม่ของห้องเสื้อ Givenchy ต่อจาก จอห์น กัลลิอาโน (John Galliano) ซึ่งก็สร้างกระแสทันที

หลังจาก แม็กควีน ต่อว่าผลงานกูตูร์คอลเล็กชันแรกของตัวเองว่า “ห่วยแตก” แต่ในขณะเดียวกันปี 1996 ก็เป็นปีแรกที่แม็กควีนชนะรางวัลดีไซเนอร์ยอดเยี่ยมของเวที British Fashion Awards และชนะอีกสามครั้งในปี 1997, 2001 และ 2003

 

โชว์คอลเล็กชัน Spring 1999 ของแม็กควีน

 

เมื่อ ปี 2000 แม็กควีน ก็ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้ง หลังจากที่เขาตัดสินใจขายหุ้น 51% ของแบรนด์ตัวเองให้กับเครือ Gucci Group ด้วยการผลักดันของ ทอม ฟอร์ด (Tom Ford) ที่ตอนนั้นเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ให้กับ Gucci ในสัญญาแม็กควีนยังคงได้อิสระเต็มที่ในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และทางกลุ่ม Gucci ยังช่วยเพิ่มทุนเปิดร้านทั่วโลกให้

กล่าวได้ว่านี้คือช่วงขาขึ้นของ แม็กควีน ก็ว่าได้ ซึ่งต่อมาในปี 2006 แม็กควีน ก็ได้ตัดสินใจเปิดไลน์เสื้อผ้าชื่อ McQ ในราคาย่อมเยาเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ และก็ประสบความสำเร็จสุด ๆกับลายหัวกะโหลดที่คนไทยเรานิยมซื้อในเวอร์ชั่นผ้าพันคอ

ความสร้างสรรค์ทางด้านแฟชั่นแบบทุก 360 องศา

แม็กควีน ได้รังสรรค์แฟชั่นโชว์ที่น่าจดจำไว้มากมายจนนับไม่ถ้วน มีการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานในโชว์ที่ตระการตา และผลักดันจินตนาการให้คนคิดไปให้ไกลขึ้น เราจะเห็นได้จากการใช้โฮโลแกรม ของนางแบบ เคต มอสส์ (Kate Moss) ในคอลเล็กชัน Fall 2006 ที่ใช้ชื่อว่า Widows of Culloden

โฮโลแกรม ของนางแบบ เคต มอสส์ (Kate Moss)

อีกหนึ่งโชว์ ที่กลายเป็นโชว์สุดท้ายที่เราจะได้เห็นแม็กควีนบนรันเวย์ ก็คือ คอลเล็กชัน Spring 2010 ที่ใช้ชื่อว่า Plato’s Atlantis มีการใช้หุ่นยนต์สองตัวเหมือน Transformer มาถ่ายไลฟ์สตรีมอยู่บนเวที ซึ่งโชว์จบลงด้วยเพลง Bad Romance ของ Lady Gaga ที่ถูกปล่อยเป็นครั้งแรก

จะได้เห็นว่าดีไซน์เนอร์หนุ่มคนนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ดีไซเนอร์ แต่เขายังเป็นนักคิดสร้างสรรค์ตัวจริงเสียงจริงที่คิดทุกอย่างแบบ 360 องศา และต้องการให้ทุกโชว์สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่สำหรับโลกแฟชั่นก็ว่าได้

Alexander McQueen
Plato’s Atlantis

วันที่วงการแฟชั่นระดับโลกสูญเสียดีไซน์เนอร์ระดับตำนาน

ทั้งโลกต่างช็อกกับข่าวแม็กควีนปลิดชีพตัวเองในคอนโดมิเนียมของตัวเองในกรุงลอนดอนด้วยวัยเพียง 40 ปี ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 2010 การสูญเสียในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งครั้งสำคัญ ไม่ใช่แค่กับวงการแฟชั่น แต่ยังรวมถึงวงการศิลปะ แม้เราจะไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แต่แม่ของแม็กควีน จอยซ์ แม็กควีน (Joyce McQueen) ก็เพิ่งเสียจากโรคมะเร็งเพียง 9 วันก่อนที่เขาจะเสียชีวิต หลายคนคิดว่าการที่ อิซาเบลลา โบลว์ ฆ่าตัวตายเมื่อปี 2007 ก็อาจเป็นสาเหตุที่เป็นผลกระทบต่อแม็กควีนด้วย

ภายหลังต่อมา มือขวาของแม็กควีน ซาราห์ เบอร์ตัน (Sarah Burton) ก็ได้เข้าทำหน้าที่เป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ Alexander McQueen จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเธอก็ได้รับคำชื่นชมมาโดยตลอด แม้ดาวเด่นคนไหนจากไป เราก็ยังคงมีโอกาสได้ยกย่องพวกเขาอยู่เสมอผ่านผลงานและเสื้อผ้าที่ไม่ได้ตายไปจากเรา

ในปี 2011 พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันในนิวยอร์ก มีการจัดนิทรรศการ Savage Beauty ที่มีการรวบรวมผลงานต่าง ๆ ของแม็กควีน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย และต่อมาโชว์นี้ก็ได้ย้ายไปแสดงที่ลอนดอนในปี 2015 ณ พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต

Alexander McQueen
Savage Beauty

หลายสำนักพิมพ์ก็ต่างผลิตหนังสือเกี่ยวกับผลงานและชีวิตของแม็กควีนออกทุกปี ล่าสุดมีการประกาศว่าจะมีการทำหนังชีวประวัติออกมาเกี่ยวกับแม็กควีนที่กำกับโดย แอนดรูว์ เฮจ (Andrew Haigh) และ แจ็ก โอคอนเนลล์ (Jack O’Connell) รับบทนำ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่า ผู้คนยังสนใจในตัวแม็กควีนอยู่ และคนรุ่นหลังต่อ ๆ ไปก็ยังคงมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขา

แหล่งอ้างอิงข้อมูล : themomentum, UFABET

ติดตามเว็บไซต์น่าติดตามเพิ่มเติมได้ที่ >> เกมออนไลน์

แบรนด์อื่นๆ ที่แนะนำ >> เทรนด์สีเสื้อผ้า 2021