Supreme ซูพรีม เปิดประวัติแบรนด์เสื้อผ้าแนว Street Fashion ที่โด่งดัง

Supreme ซูพรีม เปิดประวัติแบรนด์เสื้อผ้าแนว street fashion ที่โด่งดัง

Supreme ซูพรีม อย่างที่รู้กันว่าวงการ Street Fashion นั้นเต็มไปด้วยแบรนด์ดัง ต่าง ๆ มากมาย และหลายแบรนด์ก็ยังคง เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง อาจจะมีบางแบรนด์บ้างที่ล้มหายตายจากไปก็ไม่น้อยนัก แน่นอนว่าในบรรดาแบรนด์ต่าง ๆ เหล่านี้ ก็มีแบรนด์หนึ่ง Streetwear แท้ ๆ เมื่อพูดถึงชื่อนี้ขึ้นมาหลาย ๆ คนจะต้องรู้จักอย่างแน่นอน นั่นก็คือ Supreme นั่นเอง ที่นอกจากจะฐานแฟนคลับทั่วโลก เฝ้าคอยคอลเล็คชั่นใหม่ ๆ ของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ แล้วก็มักจะขายหมดเกลี้ยงเทน้ำเทท่า ภายในเวลาไม่นาน

สื่อหลายสำนักยังคงพากันยกย่องว่า Supreme ไม่ต่างอะไรกับ Chanel ของวงการ Streetwear เลย และเป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของชาวสตรีท ไปจนถึง เป็นแบรนด์ที่เท่ที่สุด ณ ยุคปัจจุบันนี้ เลยทีเดียว ที่สำคัญกว่านั้นคือ ความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นจากความเข้าใจและความตั้งใจจริง ที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป เป็นกว่าเวลา 20 ปีที่แล้ว

วันนี้เราจึงจะมารวบรวบเรื่องราวที่น่าสนใจ เกี่ยวกับแบรนด์สตรีทแวร์อันโด่งดัง ที่หลายคนได้ยินชื่อแล้วจะต้องรู้จัก ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของ Supreme เป็นอย่างไรบ้าง ให้คุณผู้อ่านได้ทำความรู้จักกับแบรนด์นี้มากขึ้น

การต่อตั้งของแบรนด์ เริ่มต้นจากการชายที่ชื่อว่า James Jebbia

Supreme ก่อตั้งขึ้นโดย James Jebbia ชายชาวอังกฤษที่มาทำงานใน New York ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 โดยตอนแรกเขาเริ่มจากการเปิดแผงขายเสื้อผ้า และกระเป๋าวินเทจ ในตลาด Flea market บนถนน Spring Street ของ Manhattan ควบคู่ไปกับการเป็นพนักงานร้านเสื้อผ้าที่ชี่อว่า “Parachute” ในย่าน SoHo ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ Eddie Cruz ที่เป็นพนักงานที่อยู่ที่นั่น

ก่อนที่ Eddie จะออกมาสร้างแบรนด์ “Undefeated” ก็เป็นแบรนด์ที่โด่งดังในเวลาต่อมา และกลายเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของ James Jebbia

หลังจากนั้น James ก็เริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับงานประจำ และได้นำเงินที่เขาเก็บมาเปิดร้านเสื้อของตัวเองชื่อ “Union” บน Spring Street ในปี 1989 เพื่อนำเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ จากอังกฤษอย่าง Duffer of St. George และ Fred Perry มาวางขาย รวมถึงแบรนด์ streetwear ยอดฮิตในช่วงเวลานั้นอย่าง “Stüssy”

แต่ในต่อมา James ก็ออกจาก Union มาทำงานกับ Shawn Stussy ในช่วงแรกก่อนตั้งร้าน Stüssy สาขานิวยอร์คบนถนน Prince Street ในปี 1991 ซึ่ง Union ยังคงเปิดกิจการต่อไป(โดยเจ้าของใหม่)จนกระทั่งปิดตัวลงในปี 2009 จากนั้นรีแบรนด์ด้วยการเปลี่ยนชื่อเป็น Union LA และย้ายที่ตั้งไปเปิดทำการใน Los Angelis จนถึงปัจจุบัน

วันหนึ่ง James ไปเจอตึกว่าง ในราคาเช่าถูก แห่งหนึ่ง ด้วยทำเลที่ค่อนข้างเงียบ และเขาคิดว่าน่าจะเป็นจุดเหมาะสำหรับเหล่า ผู้ชื่นชอบ Skater ที่จะมาเล่นหรือนัดพบกันที่นั่น ด้วยความที่เขาชื่นชอบและได้คลุกคลีกับ Street fashion รวมทั้งเหล่า skater มานาน แม้ว่าเขาเองจะเล่นสเก็ตไม่เป็นเลยก็ตามที James ก็ปิ๊งไอเดีย ที่จะสร้างร้านเสื้อผ้าสำหรับพวก Skater ขึ้นมา

แรงบันดาลใจที่สำคัญสำหรับเขาก็คือ ความรู้สึกที่ว่าแบรนด์สเก็ตบอร์ดต่าง ๆ ในช่วงนั้น คือมีสินค้าเกี่ยวกับสเก็ตบอร์ดคุณภาพดี แต่กลับไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ดีไซน์เท่ ๆ แบบที่เขาเห็นในแม็กกาซีนแฟชั่นของอังกฤษอย่าง The Face และ i-D แบบที่เขาชอบอา่นเลย

แถมย่านนั้นก็ยังไม่มีร้านขายพวกสเก็ตบอร์ดเจ๋ง ๆ อีก จึงเป็นช่องทางที่ดีในการลองทำแบรนด์เสื้อผ้าขึ้นมาให้วัยรุ่นผู้ชื่นชอบสเก็ตบอร์ด นอกจากนี้เขายังเห็นว่า Shawn เองก็ไม่ค่อยแฮปปี้กับธุรกิจของ Stüssy ที่โตเร็วเกินไป

และ James เองก็ไม่ชัวร์ว่า Stüssy จะอยู่ได้นานอีกแค่ไหน ในที่สุด ร้านเสื้อผ้าที่ชื่อว่า Supreme ก็ได้ถูกเปิดขึ้นบนถนน Lafayette บนเกาะ Manhattan ใน New york ในปี ค.ศ. 1994 โดยที่ James ก็ยังทำงานอยู่ในร้าน Stüssy ไปด้วยพร้อม ๆ กัน ก่อนตัดสินใจลาออกมาลุยกับ Supreme เต็มตัวภายหลังจากที่ Shawn ขายหุ้นของ Stüssy ในปี 1996

สัญลักษณ์ของแบรนด์ โลโก้ ที่มาที่ไป และการออกแบบร้าน Supreme ซูพรีม

ที่มาที่ไปของชื่อ “Supreme” ที่เมื่อแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “มีอำนาจสูงสุด” หรือ “สำคัญที่สุด” นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะ James แค่คิดว่าชื่อนี้ฟังดูแล้วเท่ดี ส่วนโลโก้ก็ใช้เป็น Box Logo ที่แสนสะดุดตา และเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งคือฟอนท์ Futura Heavy Oblique

สีขาวบนพื้นสีเหลี่ยมสีแดงนั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะแนว propaganda art ของ Barbara Kruger ที่เน้นการใช้ดีไซน์แบบเดียวกันนี้ในผลงานหลายๆ ชิ้นของเธอ มันกลายเป็นโลโก้ที่ทรงพลังมากที่สุดโลโก้หนึ่งในวงการ street fashion

เมื่อพูดถึงเรื่องการตกแต่งภายในร้าน ด้วยความที่ James คำนึงถึงลูกค้า ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาว Skater เป็นหลัก เขาจึงออกแบบร้านให้มีพื้นที่โล่งตรงกลาง และจัดสินค้าไว้ชิดผนัง เพื่อให้ทุกคนสามารถไถสเก็บบอร์ดเข้ามาในร้านได้

พนักงานในร้านคนแรกอย่าง Gio Estevez ก็เป็น skater แถม Supreme ยังมีการจัดทีมสเกตของตัวเองขึ้นมาและโปรโมทเสื้อผ้าไปในตัว นอกจากนี้ยังรวมเอาวัฒนธรรม hip hop มาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ด้วย บรรยากาศของร้านจึงเป็นมิตรสำหรับ skater ทุกคน และทำให้ร้านแห่งนี้กลายเป็นคลับย่อมๆ ของวัยรุ่นกลุ่มนี้ไปโดยปริยาย และต่อให้ไม่ใช่คนที่เล่นสเกต ก็ยังชื่นชอบในเอกลักษณ์ของร้าน

แม้รูปแบบการขายในช่วงแรกของที่นี่ จะแหวกแนวไปหน่อยตรงที่ “ดูแต่ตา มืออย่าต้อง” ถ้าลูกค้าจับเสื้อผ้าที่พับไว้อย่างดีจะโดนพนักงานร้านดุทันที และประเด็นที่ว่าพนักงาน Supreme อัธยาศัยไม่ดี ไม่ค่อยเอาใจใส่ ก็ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผู้คนบ่นมาจนถึงปัจจุบัน

ความเหนือกว่าของแบรนด์ Supreme อยู่ที่อะไร ทำไมผู้คนถึงคลั่งไคล้

แม้ในปี 1994 ที่สมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้แพร่หลายเช่นปัจจุบัน แต่ Supreme ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงสเก็ตบอร์ด ภายในเวลาไม่นาน ด้วยการบอกปากต่อปาก และโปรโมทด้วยสติกเกอร์ Box Logo ที่แจกฟรี ๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งพนักงานและลูกค้าก็เอาไปติดบนสเก็ตบอร์ด ของใช้ ตามป้ายบ้าง ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่ว New York สำหรับ Supreme เปรียบเสมือนลัทธิหนึ่ง ที่นักสเก็ตบอร์ดบูชา

และสาเหตุที่ทำให้คนคลั่งไคล้ Supreme ก็มีที่มาที่ไปอยู่เหมือนกัน ความสำเร็จของ Supreme เริ่มจากคุณภาพของเสื้อผ้าที่ดี นั้นคือสไตล์ดูดี เท่ และใช้เนื้อผ้าการตัดเย็บคุณภาพเยี่ยม สิ่งที่ทำให้ Supreme เหนือกว่าจนเป็นที่ยอมรับก็คือ การไม่ทำอะไรตามกระแส หรือตามเทรนด์ แต่กลับสร้างเทรนด์ สร้างสไตล์ของตัวเองขึ้นมาแทน

ที่โดดเด่นที่สุดเลยก็คือ มีคอนเซ็ปต์ในการออกแบบที่มีการนำเอาเรื่องราวใน Street culture และ Pop culture มาใช้ด้วยลูกเล่นที่ดู minimal แต่กลับน่าสนใจ และคาดไม่ถึง มีความกล้าที่จะแหกกฎ และไม่แคร์หน้าใคร เริ่มตั้งแต่การนำเอา Box Logo ของแบรนด์มาเป็นองค์ประกอบหลักของสินค้า บางครั้งก็มีการดัดแปลงลวดลายต่าง ๆ หลาย ๆคอลเล็กชั่น ถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความคิดสร้างสรรค์

แหล่งอ้างอิงข้อมูล : marketeeronline , แทงบอล

ติดตามเว็บไซต์น่าติดตามเพิ่มเติมได้ที่ >> เกมออนไลน์

แบรนด์อื่นๆ ที่แนะนำ >> CONVERSE รองเท้ากีฬา