Brand name fashion updates
Brand Name เปิดแบรนด์ที่หลายๆท่านนั้นจะต้องรู้จัก มีติดตัวแล้วปังแน่นอน
Brand name fashion updates
Brand Name เปิดแบรนด์ที่หลายๆท่านนั้นจะต้องรู้จัก มีติดตัวแล้วปังแน่นอน

Christian Dior เปิดประวัติที่ทำให้สาวกจำไม่ลืมจากเด็กกำพร้า มาสู่เจ้าของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก

Christian Dior

Christian Dior พาส่องแบรนด์ระดับตำนาน ที่เรื่องราวอาจะไม่ได้สวยหรูนัก

Christian Dior สำหรับหลายๆคน ที่ชื่นชอบในเรื่องของวงการแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ เมื่อเราจะได้เข้ามาสนทนา หรือจะเอ่ยชื่อสักแบรนด์หนึ่งขึ้นมา สำหรับแบรนด์ Dior  นั้นก็จะมีชื่อเข้ามา เพราะสำหรับแบรนด์ดังระดับโลก ที่ได้รับความนิยมอยย่างเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นอะไร สำหรับแบรนด์ Dior  ก็ต้องบอกเลยว่าอยู่ในระดับตำนาน และได้เป็นแฟชั่นตลอดกาล ที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องเป็นแฟลนคลับ หรือสาวกของแบรนด์นี้กันอย่างแน่นอน

ซึ่งจุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้ก็ได้มากจาก ชายอัจฉริยะชาวฝรั่งเศสผู้ที่ไม่เคยย่อท้อ นามว่าChristian Dior ในช่วงของปลายปี 1940s นั่นเอง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้นั้น คริสเตียน ดิออร์ ได้จากโลกใบนี้ไปแล้ว แต่ถ้าหากชื่อของเขายังคงอยู่ และมีผลงานสุดอมตะ รวมไปถึงเรื่องราวของเขานั้นได้มีคนจดจำกันไปทั่วโลก พร้อมทั้งยังมีการบันทึก โดยสำหรับประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมแฟชั่นแล้วเรียบร้อย ซึ่งเขานั้นได้ฐานะของชายผู้ที่ได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิต ของสุภาพสตรีในโลกแฟชั่นไปตลอดกาล

เปิดจุดเริ่มต้น Christian Dior ทำไมได้ถึงประสบความสำเร็จ

บอกเลยว่าสำหรับโลกใบนี้ คงไม่ได้มีอะไรที่ถูกปูทางมาแบบสวยหรูอยู่แล้ว กว่าที่เราจะประสบความสำเร็จได้นั้น ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ได้เจอเรื่องราวที่น่าสนใจ และพบกับอุปสรรคต่างๆ ก่อนที่เรานั้นจะก้าขึ้นไปบนจุดสูงสุดของชีวิต แล้วทำให้หลายๆคนนั้น จดจำเราได้อย่างยอดเยี่ยม นั่นคือความพยายาม และสิ่งที่เราได้ ขยัน พร้อมทั้งฝึกฝนมาอยู่เรื่อยๆนั่นเอง

และวันนี้ เราจะมาดูกันว่า ทำไมแบรนด์ดังระดับโลกที่มีชื่อเสียงสุดๆ มีจุดเริ่มต้น และเส้นทางอย่างไรบ้าง โดยที่ คริสเตียน ดิออร์ ได้เกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม ปี 1905 ซึ่งเมืองที่เกิดคือ เมืองกร็องวิลล์ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรังเศส ภายในครอบครัวของผู้มีอันจะกิน หรือต้องบอกว่าพอมีฐานะหน่อย

โดยเขาได้เกิดจาก บิดาและมารดา ชื่อว่า เมเดอลีน และ มอริส ดิออร์ และหากเรานั้นได้ย้อนเวลากลับไปเสียหน่อย ในวัยเด็กของเขานั้น สำหรับคริสเตียนแล้ว เขาคือเด็กชายที่เรียบร้อย และมีความละเอียดอ่อนจนน่าประหลาดใจ

Christian Dior

แถมงานอดิเรกของเขา ก็ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาด้วยนะ เพราะหลายๆคนนั้นจะเห็นว่า เขาได้ชื่นชอบในการออกแบบ และตกแต่งบ้าน และพอเขาได้โตขึ้นมาสักหน่อย ที่จิตวิญญาณของศิลปิน ที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดของเขา

ก็ได้เริ่มแสดงออกมาให้หลายๆคนเริ่มเห็น เพราะสิ่งที่เขาชื่นชอบนั้น ส่วนมากจะอยู่เกี่ยวกับศิลปะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะการเต้นบัลเลต์ และงานจิตรกรรม ที่คนละแวกบ้านของเขา หรือครอบครัวก็จะเห็นว่าเขานั้น ได้เป็นนักออกแบบเสื้อผ้า ในแก่ครอบครัวของเขาเองด้วย

แบะเมื่อคริสเตียน ได้เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขานั้นได้ชื่นชอบ หรือจะบอกว่าคลั่งไคล้หลงใหลไปกับ ศิลปะแบบชนิดที่ โง่หัวไม่ขึ้นเลยจริงๆ และคริสเตียนนั้นได้แอบครอบครัว เพื่อที่จะเข้าไปพบปะ และได้พูดคุยกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะอยู่บ่อยครั้ง ทั้งในบาร์ หรือจะเป็นแกลอรี่สักแห่ง แถมหนึ่งในนั้นก็ยังได้ รวมไปถึงจิตรกรรมระดับโลกอย่าง ปิกัสโซ่ อีกด้วย

จุดเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้ คริสเตียนกลายเป็นคนไร้บ้าน

อย่าลืมว่าชีวิตของเรานั้น ไมได้สวยหรู และถูกปูทางกลีบกุหลาบ เสมอไปหรอกนะ เพราะพ่อของเขานั้นได้เอ่ยคำขาดกับเขา ให้เลือกทางเดินชีวิต ที่บังคับให้เขานั้นเรียนวิชานักการฑูต ที่โรงเรียนรัฐศาสตร์ Des Sciences Politiques ถือว่าเป็นความคิดของชาวฝรั่งเศสที่มีภูมิฐาน

แต่พอเวลาผ่านมาถึง 4 ปีก็ยังไม่รู้เลยว่า จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะดูท่าทีก็ไม่มีวี่แววที่จะประสบความสำเร็จทางด้านนี้ได้เลย กับเส้นทางที่พ่อของเขานั้น ได้ขีดเขียนขึ้นมาให้ จึงให้พ่อของเขานั้นล้มเลิกความตั้งใจ แต่ก็ยังไม่เห็นด้วยในเรื่องที่เขานั้น ยังชื่นชอบศิลปะซักเท่าไหร่

ต้องบอกว่าเขาไม่สนับสนุนลูกเขาเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าตัวคริสเตียนนั้น จะมีสายเลือดศิลปินอยู่มากก็ตามแต่ จนกระทั้ง คริสเตียนได้เริ่มตัดสินใจ ที่จะเปิดห้องแสดงภาพเขียน เป็นของตัวเอง แต่ทว่าพ่อของเขา ยังยื่นคำขาดมาว่าห้ามนำชื่อ ดิออร์ มาเกี่ยวข้องกับแกลอรี่ แห่งนี้ในกรุงปารีสนี้เด็ดขาด

ซึ่งครอบครัวของเขานั้นได้ ยึดติดกับค่านิยมที่รับไม่ได้ กับอาชีพค้าขายด้อยค่าแบบนี้นั่นเอง แต่ในช่วงแรกๆของการเปิดแกลเลอรี่ก็เริ่มต้นด้วยดี จนเมื่อคริสเตียนนั้น ได้สูญเสียแม่ผู้เป็นที่รักไป และเคราห์ซ้ำกรรมซัด ที่ทางพ่อของเขานั้น ที่ได้ต้องประสบกับสภาวะล้มละลายจากตลาดหุ้น

จึงเป็นสิ่งที่ให้เกิดชาตะที่เปลี่ยนแปลงไปสุดๆ เพราะไม่เพียงแค่แกลอรี่ของเขา นั้นที่จะต้องได้ปิดตัวลงอย่างน่าเสียดาย ซึ่งหากชีวิตที่เคยรุ่มรวย ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ก็จะต้องถูกพรากไปด้วยเช่นกัน จึงทำให้ทางตัวคริสเตียนไม่ต่างอะไร จากคนไร้บ้านเลยเสียจริง และต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อนฝูง ทั้งด้านที่อยู่อาศัย และอาหารอยู่พักใหญ่

และสำหรับคนที่คอยช่วยเหลือเขา คือเพื่อนอย่าง acques Ozenne ที่ได้ผู้เป็นนักวาดภาพประกอบ แถมยังมีการสอนให้คริสตียนเขียนแบบ อย่างไรให้สมบูรณ์ จนได้จุดประกายความฝัน ด้านศิลปะของเขาขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ได้ผ่านพ้นไปนั่นเอง

Christian Dior
ภาพของชุด New Look จาก คริสเตียน ดิออร์ / ภาพ : wikipedia

ฟ้าหลังฝนย่อมสวยเสมอ คำนี้ใช้ได้กับชายคนนี้ คริสเตียน ดิออร์

เมื่อผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายออกไปได้ เขาก็ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนาฝีมือในการทำงานเลยสักครั้ง เขาได้มีการ ออกแบบที่ อยู่ภายในห้องใต้หลังคาของบ้านเพื่อนเขาคนนี้อยู่เรื่อยๆ ขึงทำให้เขานั้นได้มีงานออกแบบหมวก และเสื้อผ้าให้กับทาง Haute Couture House

เหมือนกันฟ้าส่องแสงให้แก่เขา ที่ทำให้ผลงานของเขา เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก และเริ่มมีการขายดีเป็นว่าเล่น และด้วยเหตุนี้เอง คริสเตียนมีรายได้พอที่ จะส่งเสียให้พ่อกับน้องของตัวเองจนได้ และนี้คือที่มา คำว่า ฟ้าหลังฝนมันย่อมสวยเสมอ และในที่สุด

ผลงานของคริสเตียน ก็ได้ไปเข้าตาของ โรเบิร์ต ปิเกต์ ที่ได้เป็นดีไซเนอร์ ชื่อดังในสมัยนั้น จึงเป็นเหตุที่เขาทั้งคู่ได้มาทำงานร่วมกันเมื่อปี 1938 ในวัย 33 ปี และก็ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และเมื่อเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบลง

เขาก็ยังได้มีโอกาส ที่เข้าไปร่วมงานกับบริษัท ลูเซียง เลอลง ที่ในครั้งนั้นเขายังได้ร่วมงานกับอีกหนึ่ง ดีไซเนอร์ในตำนานอย่าง Pierre Balmain อีกด้วย และไม่นานหลังจากนั้น คริสเตียนก็ได้กลายเป็นผู้บริหารในบริษัท Boussac ก่อนที่จะได้เงินทุน ในการสนับสนุน และไดเมีการเปิดแบรนด์ เป็นของตัวเองในชื่อ Christain Dior ในวัย 42 ปี นั่นเอง

แฟชั่นสุดอมตะ เส้นทางประสบความสำเร็จ

และเมื่อเขาได้เปิดแบรนด์ ของตัวเองอย่างเป็นทางการแล้วซึ่ง ในปี ค.ศ. 1947 ทางคริสเตียน ดิออร์ ก็ได้มีการได้เปิดตัว แฟชั่นแนวใหม่ที่เราทุกคน นั้นก็ต่างรู้จักกันในนาม “New Look” ถือว่าเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยม อย่างมาก แถมไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้เลย

เพราะเป็นการที่ริเริ่มให้เหล่าสุภาพสตรี แห่งยุโรปกลับมาแต่งตัวสวยได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่แสนจะปวดร้าว กลับสงครามโลกครั้งที่ 2 กันมาด้วย ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ที่มารูปแบบของเสื้อไหล่แคบ ที่มาพร้อมกับกระโปรงยาว

ซึ่งต้องบอกว่าเหล่านี้เองนั้น ที่ได้มาแทนที่ เสื้อรูปแบบไหล่กว้าง และมากับกระโปรงสั้นทรงตรง ที่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อีก ทั้งแนวความคิดของเขาเองในครั้งนี้ นั้นยังได้สร้างสรรค์ออกมาเป็นคอลเล็กชั่น ที่มีการเน้นไปถึงความหรูหรา กับกระโปรงสุดฟูฟ่อง

โดยให้สาวๆนั้นได้อารมณ์ที่สดใส และกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง ที่ได้รับอิทธิพลเอเชียอย่างประเทศญี่ปุ่น ทำให้นิวลุคมีกลิ่นอายแบบโอเรียนทัล (สังเกตได้จากหมวก) จึงทำให้ผลงานชุดนี้ของเขา นั้นก็ได้สร้างชื่อให้แก่เขา จนเขาได้รับการขนานนามว่าเป็นดั่ง Style Dictator เลยทีเดียว

ต้องกล่าวได้เลยว่า สำหรับเสื้อผ้านิวลุคนี้ ที่ได้ปฏิวัติวงการแฟชั่น ของเหล่าสุภาพสตรี จนกระทั่งเปลี่ยนให้กรุงปารีสให้กลาย เป็นศูนย์กลางของโลกแฟชั่น อีกที่หนึ่งจนได้ ก่อนที่หลังจากนั้นเพียงขวบปีคริสเตีย นปิดตัวไลน์น้ำหอมของแบรนด์ อันเป็นเอกลักษณ์มาจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว

และสำหรับ แบรนด์ดิออร์ในยุคหลัง นั้นก็มาจากการกุมบังเหียนของคริสเตียน ดิออร์ ยังก็ยังคงดำเนินต่อมาอย่างมั่นคง ด้วยฝีมือฉกาจของเหล่าครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Yves Saint Laurent (1957–1960), Marc Bohan (1960–1989), Gianfranco Ferré (1989–1997), John Galliano (1997–2011), Bill Gaytten (2011–2012), Raf Simons (2012–2015), Serge Ruffieux & Lucie Meier (2015–2016)

และก็ได้คนล่าสุดที่เป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวอย่าง Maria Grazia Chiuri (2016–ปัจจุบัน) มาพร้อมด้วยคิม โจนส์ ดีไซเนอร์แห่งยุคที่ถือว่าน่าจับตามองมากที่สุด โดยเขานั้นก็ได้เข้ามาช่วยสมทบความแข็งแรงให้กับ Dior Men ด้วยอีกหนึ่งแรง

ภาพของ Maria Grazia Chiuri ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนปัจจุบันของแบรนด์ดิออร์ / ภาพ : Vogue.uk

เครดิตอ้างอิงข้อมูลจาก : https://www.vogue.co.th/

ติดตามเว็บไซต์น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ >> เกมออนไลน์